ตำรวจทางหลวงประจวบ รวบผู้ต้องหาชิงสร้อยทอง 11 บาท จากร้านทองชื่อดังจังหวัดราชบุรีได้ ขณะขับรถพาครอบครัวจะมาเที่ยวคลองวาฬเพื่อคลายเครียด หลังกบดานแค่ 4 วัน รับสารภาพ เป็นหนี้การพนันออนไลน์กวา่ 2 แสนบาท นำสร้อยคอทองคำ 10 บาท ไปใช้หนี้หมดแล้ว เหลือไว้ติดคอแค่บาทเดียว เผยตกงานทำให้มีความเครียดต้องหาเงินใช้หนี้
เมื่อเวลา 12.00 น. วันที่ 28 พฤษภาคม 2563 พล.ต.ท.ธนา ชูวงศ์ ผบช.ภ.7 ได้สั่งการให้ พล.ต.ต.สุรศักดิ์ สุขแสวง ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ วางกำลังตรวจสกัด และให้ พ.ต.ท.ณรงค์ฤทธิ์ งามแฉ่ง สารวัตรสถานีตำรวจทาง 3 กองกำกับการ2 กองบังคับการตำรวจทางหลวง นำกำลังตั้งจุดตรวจสกัดจับผู้ต้องหา ตามหมายจับในคดีจี้ชิงทองรูปพรรณ น้ำหนัก 11 บาท มูลค่าประมาณ 3 แสนบาท จากร้านทองชื่อดังใน จ.ราชบุรี หลังชุดสืบสวนตำรวจภูธรภาค7ตรวจพบความเคลื่อนไหวของผู้ต้องหา ขับรถออกจาก จ.ราชบุรี มุ่งหน้าลงภาคใต้
ทั้งนี้ พ.ต.ท.ณรงค์ฤทธิ์ งามแฉ่ง สารวัตรสถานีตำรวจทาง 3 กองกำกับการ2 กล่าวว่า หลังได้รับคำสั่ง ได้รายงานให้ พล.ต.ต.ชัช สุกแก้วณรงค์ ผบก.ทล. ทราบ จากนั้นวางกำลังตั้งจุดสกัด กระทั่งพบรถยนต์กระบะยี่ห้ออีซูซุรุ่นดีแม็คซ์ สี่ประตู สีขาว ทะเบียนกม 6830 ราชบุรี ลักษณะแต่งซิ่ง ตรงตามที่ได้รับแจ้ง วิ่งมาตามถนนเพชรเกษม ผ่านสถานีตำรวจทางหลวงประจวบคีรีขันธ์ เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ประจำจุดสกัดจึงติดตามผู้ต้องหาทันที โดยรถยนต์ของผู้ต้องหาวิ่งไปถึงสี่แยกไฟจราจรประจวบคีรีขันธ์ เจ้าหน้าที่จึงบังคับไฟสัญญาณจราจรให้รถหยุด จากนั้น ด.ต.กิตติศักดิ์ ปิ่นเกษ และเจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวงประจวบคีรีขันธ์ ชุดจับกุมเข้าจับแสดงตัวกุมทันที
ทั้งนี้เจ้าหน้าที่สามารถควบคุมตัวผู้ต้องหาตามหมายจับในคดีจี้ชิงทอง คือ นายณัฐพล(ขอสงวนนามสกุล) อายุ 25 ปี ชาวจังหวัดสงขลา ซึ่งขับรถคันดังกล่าว เดินทางพร้อมกับภรรยาและลูกของภรรยาอีก 1คน โดยได้นำตัวมาสอบปากคำที่สถานีตำรวจทางหลวงประจวบคีรีขันธ์ จากการตรวจค้นภายในตัวพบสร้อยคอทองคำ หนัก 1 บาท พร้อมเหรียญไอ้ไข่ วัดเจดีย์ จ.นครศรีธรรมราช สวมอยู่ที่คอนายณัฐพล ส่วนสร้อยคอทองคำที่เหลือ อีก 10 บาท นั้นหายไป
ทั้งนี้นายณัฐพล ผู้ต้องหา ให้การรับสารภาพว่า เดิมทีอยู่ที่ จ.สงขลา ก่อนย้ายมาอาศัยอยู่ที่ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ และเพิ่งไปพักอยู่กับแฟนที่ จ.ราชบุรี ได้ประมาณ 1ปี โดยที่พ่อแม่เป็นชาว จ.ราชบุรี ทั้งนี้ตนเองตกงานไม่มีรายได้ และยังติดหนี้การพนันออนไลน์ จำนวนกว่า 2 แสนบาท มีความเครียดต้องการใช้หนี้ จึงคิดสั้นชั่ววูบไปชิงทองดังกล่าว ได้ทองมาจำนวน 11 บาท นำสร้องคอทองคำ 10บาทไปใช้หนี้พนันออนไลน์หมดแล้ว เหลือบาทเดียวที่คอม
ส่วนอาวุธปืนและเสื้อผ้าได้นำไปทิ้ง เหลือเพียงรองเท้าแตะที่ใส่ในวันก่อเหตุ ส่วนรถจักรยานยนต์ PCXสีน้ำเงินดำที่ตนขับขี่เป็นของแฟนตนเอง โดยหลังก่อเหตุเมื่อวันที่24พฤษภาคที่ผ่านมา ตนได้กบดานเงียบอยู่หลายวัน กระทั่งวันนี้อยากคลายเครียดจึงตั้งใจพาครอบครัว ทั้งภรรยาและลูกแฟน เดินทางมาท่องเที่ยวโดยตั้งใจจะไปที่พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำหรืออะควาเรี่ยม ที่ อุทยานวิทยาศาสตร์พระจอมเกล้า ณ หว้ากอ ต.คลองวาฬ อ.เมืองประจวบคีรีขันธ์ แต่มาถูกจับกุมได้ที่สี่แยกประจวบคีรีขันธ์เสียก่อน
พล.ต.ต.สุรศักดิ์ สุขแสวง ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เปิดเผยว่า หลังได้รับคำสั่งจากผู้บัญชาการภาค7 ตนได้มอบหมายให้ พ.ต.อ.นิรันดร ศิริสังข์ไชย รองผบก.ภ.จว.ประจวบคีรีขันธ์ , พ.ต.อ.อาจิน บัวผัน ผกก.สืบสวน ภ.จว.ประจวบคีรีขันธ์ ประสานทุกสถานีฯเพื่อตรวจสอบติดตามคนร้ายตามเส้นทางถนนเพชรเกษม ซึ่งเบื้องต้นรถเป้าหมายที่ได้รับแจ้งเป็นรถกระบะทะเบียนป้ายแดง ทำให้หลุดรอดการจับกุมมาได้หลายอำเภอ กระทั่งสามารถจับกุมได้ที่ อ.เมืองประจวบคีรีขันธ์
สำหรับผู้ต้องหาที่จับกุมได้นี้ เป็นผู้ต้องหาตามหมายจับ จ.ราชบุรี โดยเมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2563 ได้เกิดเหตุคนร้ายเป็นชายอายุประมาณ 30 ปี ใส่หมวกแก็ป คาดหน้ากากผ้ามีลวดลาย สวมเสื้อแจ็กเกตสีขาวดำ กางเกงขายาว ใส่รองเท้าแตะสีขาวสะพายกระเป๋าเป้ บุกเดี่ยวใช้อาวุธปืนจี้ชิงสร้อยคอทองคำ ในร้านทองจิราวรรณ(เยาวราช) เลขที่ 48/9 ริมถนนเพชรเกษมสายเก่า ใกล้กับแยกต้นสำโรง ต.หน้าเมืองอ.เมืองราชบุรี ได้สร้อยคอทองคำหนักเส้นละ 1 บาท จำนวน 11 เส้น น้ำหนักรวม 11 บาท มูลค่าเกือบ 3 แสนบาท ก่อนหลบหนีไป เมื่อตรวจพบความเคลื่อนไหวว่าผู้ต้องหาออกจากราชบุรีในวันนี้ ตำรวจสืบสวนภูธรภาค 7 จึงได้ประสานงานกับ ตำรวจภูธรจังหวัดประจวบคีรีขันธ์และตำรวจทางหลวงประจวบคีรีขันธ์ สกัดจับคนร้ายที่กำลังเดินทางผ่านเข้ามายังพื้นที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ กระทั่งจับกุมได้ดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่จึงประสาน พนักงานสอบสวน สภ.ราชบุรี เพื่อมารับตัวผู้ต้องหาพร้อมของกลางสร้อยคอทองคำ ไปดำเนินคดี ในข้อหากระทำความผิดฐาน ชิงทรัพย์โดยมีอาวุธปืน และโดยใช้ยานพาหนะ เพื่อสะดวกแก่การกระทำผิด หรือการพาทรัพย์นั้นไป หรือเพื่อให้พ้นการจับกุม ต่อไป