วันที่ 22 สิงหาคม 2563 จากกรณีผู้ใช้เฟซบุ๊คชื่อ Arnont Choo ได้โพลต์คลิปวีดีโอโต้เถียงกันอย่างรุนแรงระหว่างผู้ใช้เฟซบุ๊คซึ่งเป็นลูกค้าวอล์คอินเข้าไปพักในรีสอร์ทแห่งหนึ่งกับภรรยา ที่ชายหาดสามร้อยยอด อ.สามร้อยยอด จ.ประจวบคีรีขันธ์ พร้อมคลิปวีดีโอบางช่วงบางตอนในเหตุการณ์ดังกล่าว โดยมีข้อความประกอบคลิประบุว่า
“ไปเที่ยวตามนโยบายรัฐบาล แถวสามร้อยยอดเข้าพักโรงแรมเล็กแห่งหนึ่ง *ไม่มีการลงทะเบียนรายละเอียดลูกค้า ให้จ่ายเงินสด ขอใบเสร็จก็ไม่มี เช้ารุ่งขึ้น ไปเที่ยว กลับมา รร. ไม่ทัน ก็ตั้งใจจะไปจ่ายเงินค่าโรงแรมเพิ่มอีก1วัน ปรากฏโดนขนข้าวของไปไว้หน้าห้องครัว ผมไปขอคำอธิบายก็ได้เห็น
ความกร่างของคนอ้างว่าเป็นเจ้าของ ฝรั่งเค้าว่า จะทำอะไรก็ได้ อีกทั้งพูดกร่าง รู้จักตำรวจใหญ่ อบต. ไปแจ้งตำรวจเลยไม่เคยกลัว ทำทีจะเอาเรื่อง… ยังดีที่ผมถ่ายคลิป ไม่งันเราคงโดนฝรั่งกระทืบ , เราเลยโทรแจ้งตำรวจ
เจ้าหน้าที่ตำรวจมาสักพัก … ผู้หญิง เจ้าของรร.อีกคนก็มาถึง (พนักงานว่า เธอเป็นครู สอนช่วงเช้า เย็นๆจะเข้ามาโรงแรม) เธอแน่มาก เดินดิ่งมาทำร้ายเราทันที ต่อหน้าตำรวจ และสามีฝรั่งสมทบ ด่าว่า เราเล่นยาเสพติด โฮ้ มันสุดๆ คุณตำรวจให้ไปแจ้งความที่โรงพัก สองผัวเมียยังหยาบคาย ไปไป ถุยถุย คืนนั้นเราแจ้งความ หาที่พักใหม่
ทริปนี้กลับบ้านด้วยความสะเทือนใจ รู้สึกแย่มากๆ แจ้งความมาเกือบเดือน ดูยังเงียบๆอยู่ … ไงก็มาเตือนภัย ให้รู้กันใครไปเที่ยวก็ดูดีๆ ระวังๆ เจอ รร. แบบนี้ นะครับ”
โดยพบว่าโพสต์ดังกล่าวได้ถูกส่งต่อและแชร์ไปอย่างรวดเร็ว และมีการเข้ามาแสดงความคิดเห็นกันเป็นจำนวนมาก และต่างอยากทราบถึงสาเหตุที่แท้จริงของเหตุการณ์ดังกล่าวว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
ทั้งนี้ผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริง พบว่า รีสอร์ทที่ถูกพาดพิงในคลิปวีดีโอ ชื่อว่า บลูบีช รีสอร์ท ตั้งอยู่เลขที่ 185 หมู่ 5 หาดพุน้อย ต.หัวตาลแถว อ.สามร้อยยอด จ.ประจวบคีรีขันธ์ เป็นรีสอร์ทขนาด 14 ห้อง
พบกับ นางสาวสายใจ ศรีบุญ เจ้าของรีสอร์ทและคือบุคคลที่ปรากฎตัวเป็นคู่กรณีโต้เถียงกับนักท่องเที่ยวด้วย โดยมี พ.ต.ต.พสิษฐ์ จุลทะการ สารวัตรสอบสวน สภ.สามร้อยยอด เข้าสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมในทางคดีและถ่ายภาพที่เกิดเหตุด้วย
นางสาวสายใจ เปิดเผยว่า สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น เป็นเหตุการณ์เมื่อช่วงเย็นของวันที่ 1 สิงหาคม ที่ผ่านมา หลังจากนักท่องเที่ยวคนดังกล่าวเข้าพักพร้อมภรรยา ที่ห้องหมายเลข 13 ค่าห้องพัก 399 บาท หากเพิ่มอาหารเช้าทางรีสอร์ทคิดเพิ่ม 100 บาท รวมเป็น 499 บาท ซึ่งมีการต่อรองขอลดราคาอีกด้วยซ้ำ ซึ่งตนก็แจ้งว่าราคาห้องพักถูกที่สุดแล้ว พร้อมแจ้งกำหนดการเช็คเอาท์ออกจากห้องพักคือ 12.00 น.ซึ่งเป็นกำหนดการตามปกติ เพื่อให้แม่บ้านได้ทำความสะอาดรอรับลูกค้ารายใหม่ในเวลา 14.00 น.
ปรากฎว่าลูกค้ารายนี้ชำระเงินค่าห้องพักเพียง 1 คืนเท่านั้นและไม่ได้แจ้งว่าจะคืนห้องพักช้า หรือพักเพิ่มอีก 1 คืน และทางรีสอร์ทไม่มีหมายเลขโทรศัพท์ของลูกค้า เนื่องจากเกิดความผิดพลาดที่ไม่ได้มีการขอเบอร์โทรศัพท์กันไว้ เพราะวันนั้นลูกค้าบอกแบตหมด กระทั่งมีลูกค้ารายใหม่มาเข้าพัก แต่เรายังไม่ได้ทำความสะอาด จนบ่ายสามแล้ว
จึงจำเป็นต้องย้ายสัมภาระของลูกค้ามาเก็บไว้หลังเคาเตอร์ซึ่งติดกับห้องครัว ไม่ใช่หน้าห้องน้ำ และลูกค้ากลับมาถึงรีสอร์ทในเวลาเย็น เมื่อมาถึงเห็นสัมภาระอยู่นอกห้องทำให้เกิดความโกรธโทรศัพท์แจ้งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจมาตรวจสอบ จึงเป็นที่มาของการโต้เถียงในคลิปดังกล่าว
ที่แรกทางรีสอร์ทเข้าใจว่าลูกค้ากลับแล้ว และลืมคืนกุญแจ เนื่องจากมีเคสลักษณะนี้บ่อยครั้ง จึงให้ช่างแอร์ไปเปิดห้อง ปรากฎว่าพบว่ายังมีสัมภาระของลูกค้าอยู่ จึงจำเป็นต้องย้ายออก เพราะไม่สามารถติดต่อลูกค้าได้ กระทั่งประมาณ 5 โมงเย็น สามีโทรบอกว่าลูกค้ามาโวยวายเรื่องการย้ายของออกจากห้อง
แล้วบอกให้ตำรวจตรวจรีสอร์ทว่ามีใบอนุญาติหรือไม่ ตรวจน้องพนักงานระบุว่าเป็นชาวบังคลาเทศ ทำงานในไทยไม่ได้ ซึ่งไม่ใช่น้องเป็นชาวเมียนมา ให้ตำรวจตรวจใบอนุญาติขายสุรา และอีกหลายอย่าง ข่มขู่เจ้าหน้าที่ตำรวจหากไม่ทำจะฟ้อง ม.157 ทำให้เหตุการณ์ยิ่งบานปลาย เมื่อเรากลับมาถึงพบว่ามีตำรวจมาแล้ว แล้วเขาก็ถ่ายวีดีโอเรา โดยไม่ได้ขออนุญาติทำให้เราโมโห ใช้มือปัดโทรศัพท์มือถือที่เขาถ่ายคลิปอยู่ แต่เขากลับพูดว่าตบเขาทำไม เราจึงต่อว่าๆเขาตอแหล
สุดท้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจขอให้ไปแจ้งความที่ สภ.สามร้อยยอด และให้ลูกค้าคนดังกล่าวไปตรวจร่างกาย ที่ระบุว่า ถูกตบ แต่ปรากฎว่าเขาไม่ไปตรวจ สุดท้ายเขาแจ้งความ ใน 2 ข้อหาคือ ตนทำร้ายร่างกายเขาด้วยการตบหน้า และสอง ฟ้องหมิ่นประมาท อ้างว่าสามีเราว่าเขาติดยาเสพติด สามีไม่ได้พูดแบบนั้น เขาแปลภาษาผิด และล่าสุดเขามาขอแจ้งข้อหาเพิ่มคือ มาตราการป้องกันโควิด-19 อีก1ข้อหา ซึ่งตนพร้อมสู้คดีเพราะตนไม่ได้ตบเขาอย่างแน่นอน เพราะคลิปที่คู่กรณีลงในสื่อออนไลน์ เอาลงแค่บางช่วงบางตอน เฉพาะตอนที่สามีตนโมโหและเดินมาต่อว่าให้เขาออกจากรีสอร์ทไป แต่เหตุการณ์ก่อนหน้านั้นไม่ได้เอาลง
ประการสำคัญคดีนี้ศาลยังไม่ได้ตัดสินว่าใครผิดใครถูก แต่คู่กรณีนำคลิปวีดีโอมาลง และกล่าวพาดพิงทำให้เกิดความเสียหายต่อตนเองและรีสอร์ท ซึ่งมีความผิดตาม พรบ.คอมพิวเตอร์ และ พรบ.ข้อมูลส่วนบุคคล อีกทั้งการที่สื่อออนไลน์ , เพจ , หรือบุคคล มีการแชร์ต่อโดยไม่ได้สอบถาม เขียนข้อมูลเติมเองไปต่างๆนานา ตนจะดำเนินคดีกับบุคคลเหล่านี้ด้วย
อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าว ได้พยายามติดต่อ ผู้ใช้เฟซบุ๊คชื่อ Arnont Choo ทางช่องทางข้อความเพื่อขอสัมภาษณ์ ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเด็นต่างๆ แต่ขณะนี้ยังไม่สามารถติดต่อได้